Page 86 - หนังสืออนุสรณ์ 125 ปี ท่าแร่
P. 86

คริสตชนพื้นฐาน ในตัวมันเองเป็นการสู้รบกับความเลวร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม พระศาสนจักรเข้าใจ

            ถึงความเลวร้ายของบาปอย่างชัดแจ้ง กล่าวคือ บาปคือการแตกแยก ก่อนอื่นคือการแยกจากพระเจ้าก่อน
            หรือการไม่ขึ้นกับพระองค์  จึงเป็นผลให้แตกแยกกับเพื่อนมนุษย์ด้วย  “เมล็ดแห่งความแตกแยก

            ซึ่งประสบการณ์ในแต่ละวันแสดงให้เห็นว่าฝังลึกในมนุษยชาติอันเป็นผลมาจากบาป” (พระสมณสาส์น
            พระศาสนจักรแห่งศีลมหาสนิท (Ecclesia de Eucharistia) ข้อ 24)

                    ขณะเดียวกัน บาปทั้งหลายในสังคมเป็นการแสดงออกและเป็นผลของบาปส่วนตัว (ดู คำาสอน
            พระศาสนจักรคาทอลิก(CCC) ข้อ 1869) ดังนั้นเพื่อนำาไปสู่ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม ก่อนอื่นต้อง

            มาจากการกลับใจภายในเท่านั้น  ซึ่งถือเป็นความจำาเป็นถาวร (CCC 1888) แน่นอนการกลับใจก็เป็น
            ผลมาจากการพบปะกับพระบุคคลของพระคริสตเจ้าเป็นการส่วนตัว พระองค์ผู้ทรงเผยแสดงให้มนุษย์

            เห็นถึงความรักของพระเจ้า การได้สัมผัสกับความรักของพระองค์ นำามาซึ่งการตอบรับ จากการเรียก
            ให้รักตอบ คือการรักตอบแทน การพบปะกับพระบุคคลของพระเยซูคริสตเจ้าเกิดขึ้นภายในพระศาสนจักร

            ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ กิจกรรมชุมชนคริสตชนพื้นฐานหรือบีอีซีเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นภายใน
            พระศาสนจักร แต่ละขั้นตอนของกิจกรรมและในกระบวนการนี้ก็สามารถนำาสมาชิกแต่ละคนพบปะกับองค์

            พระคริสตเจ้าได้ ในเพื่อนพี่น้องที่ดำาเนินชีวิตคริสตชนขั้นสูงกว่า แต่ละคนเข้าถึงการพบปะนี้ได้จาก
            ชีวิตที่เป็นพยานและจากการแบ่งปันพระวาจาของพวกเขา ในพระวาจาที่ได้อ่าน ได้ฟัง ในการภาวนา

            ร่วมกัน ในงานเมตตากิจ ฯลฯ การกลับใจภายในก็คือการรักตอบ อีกความหมายหนึ่งก็คือการตอบสนอง
            พระวาจาหรือการรับพระวาจา

                    พระศาสนจักรคาทอลิกไม่ได้เข้าใจคำาว่า “พระวาจา” ของพระเจ้า ในความหมายแคบๆ คือ
            ไม่ใช่เพียงการแสดงออกในถ้อยคำา หรือความคิด (ideas) แต่ก่อนอื่นหมด หมายถึงพระวาจาทรงชีวิต

            ของพระบิดา พระองค์ทรงเป็นพระวาจานิรันดรและทรงมารับธรรมชาติมนุษย์ ตามที่พระดำารัสเตือน
            เรื่องพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้า (Verbum Domini=VD) ได้ยืนยันว่า “คริสต์ศาสนาเป็นศาสนาตาม

            พระวาจาของพระเจ้า ไม่ใช่ศาสนาตามถ้อยคำาที่เขียนไว้และพูดไม่ได้ แต่เป็นศาสนาของ “พระวจนาตถ์”
            (พระวาจา) ที่ทรงรับธรรมชาติมนุษย์และทรงชีวิต... พระบุคคลของพระคริสตเจ้ามีความสำาคัญเป็นพิเศษ”

            (ข้อ 7) และได้มีเขียนไว้ตอนหนึ่งว่า “ที่นี่พระวาจาไม่ได้แสดงองค์เป็นคำาพูด ความคิดหรือกฎเกณฑ์ใดๆ
            ที่นี่เราอยู่ต่อหน้าพระบุคคลของพระเยซูเจ้า เรื่องราวพิเศษหนึ่งเดียวของพระองค์คือพระวาจาสุดท้าย

            ที่พระเจ้าตรัสกับมนุษยชาติ” (ข้อ 14) หมายความว่า พระองค์ยังคงประทับอยู่ในพระศาสนจักรตลอดไป
            ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ และตรัสกับเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ก่อนอื่นเกิดขึ้นในสถานที่พิเศษคือในพิธีกรรม

            โดยเฉพาะในการเทศน์สอนของศาสนบริกรผู้มีหน้าที่ (ดู VD 52) ยังรวมถึงในชีวิตของบรรดาบุคคล
            ที่รับพระวาจา “นี่คือคำาแนะนำาที่คริสตชนแต่ละคนต้องรับและนำามาใช้กับตน มีแต่ผู้ที่ดื่มด่ำาฟังพระวาจา

            แล้วเท่านั้นที่จะเป็นผู้ประกาศพระวาจานั้นได้” (VD 51) และในการดำาเนินชีวิตความเชื่อร่วมกัน (com-
            munal life of faith) ในพระศาสนจักร ด้วยเหตุนี้ภายใต้การรณรงค์ให้คริสตชนเข้าถึงพระวาจา เพื่อนำา

            พระวาจามาปรับเปลี่ยนเป็นชีวิตตนอันเป็นเป้าหมาย นั่นคือการรับพระวาจา การตอบสนองหรือ



            84                                                         ภาคที่ 2  วิถีชุมชนแห่งความเชื่อ
   81   82   83   84   85   86   87   88   89   90   91