Page 91 - หนังสืออนุสรณ์ 125 ปี ท่าแร่
P. 91

ความรอดพ้นทั้งหมดค่อยๆ แสดงให้เราเห็นความสัมพันธ์ใกล้ชิดนี้ระหว่างพระวาจาของพระเจ้ากับ

            ความเชื่อซึ่งเกิดขึ้นจากการพบกับพระคริสตเจ้า ความเชื่อจึงเป็นรูปร่างขึ้นจากการพบปะกับพระองค์ที่เรา
            มอบถวายชีวิตทั้งหมดของเรา ทุกวันนี้พระเยซูคริสตเจ้ายังทรงอยู่ในประวัติศาสตร์ ในพระกายของพระองค์

            คือพระศาสนจักร เพราะฉะนั้น ความเชื่อของเราจึงเป็นทั้งกิจกรรมส่วนตัวและเป็นกิจกรรมส่วนรวมของ
            พระศาสนจักรพร้อมกันด้วย”(VD 25)

                    ขณะที่การปฏิบัติงานจริงของงานบีอีซีท่าแร่ ก่อนที่จะได้มีการประชุมกลุ่มย่อย ก็จะทำาการประชุม
            เตรียมความพร้อมของบรรดาผู้นำากลุ่มและผู้สนใจจะเข้าร่วม ซึ่งประสบความสำาเร็จอย่างมาก และเมื่อ

            ประชุมกลุ่มย่อย พระสงฆ์ก็จะเข้าร่วมทุกครั้ง ด้วยการปฏิบัติเช่นนี้ก็ช่วยให้บรรดาสัตบุรุษได้เข้าใจพระวาจา
            ของพระเจ้าอย่างถูกต้องด้วยเช่นกัน รวมถึงการที่สำานักงานบีอีซีของมิสซังฯได้เป็นผู้จัดทำาแบบฟอร์ม

            การประชุมประจำาเดือน ซึ่งประกอบด้วยบทภาวนาต่างๆ บทภาวนาที่จัดทำาให้นี้ไม่เพียงแต่ช่วยสัตบุรุษ
            ได้ภาวนาอย่างถูกต้องตามความเชื่อเท่านั้น แต่ยังช่วยให้สัตบุรุษได้เข้าใจความเชื่อของตนผ่านบทภาวนา

            ดังกล่าวด้วย (Lex orandi, Lex credendi)
                    เนื่องจากพระศาสนจักรเป็นชุมชนของผู้ฟังพระวาจา หรือตอบสนองพระวาจา พระศาสนจักร

            จึงเป็นผู้เชื่อ และในฐานะที่เป็น “หลักและรากฐานความจริง” (1ทธ 3:15) กล่าวได้ว่าพระศาสนจักรเป็น
            ผู้รักษาความทรงจำาเกี่ยวกับพระวาจาของพระคริสตเจ้าไว้อย่างซื่อสัตย์ และเราก็ได้รับชีวิตแห่งความเชื่อ

            โดยพระศาสนจักร พระศาสนจักรจึงเป็นมารดาของเรา เป็นผู้เชิดชู หล่อเลี้ยง และค้ำาจุนความเชื่อของเรา
            นั่นคือพระศาสนจักรเป็นผู้สอนเราในเรื่องความเชื่อ (ดู CCC 168-69 และ 170) การที่จะไปถึงจุดหมาย

            ปลายทางชีวิตแห่งความเชื่อของเรานั้นจำาเป็นต้องดำาเนินชีวิตแห่งความเชื่อในพระศาสนจักร เหมือนดังที่
            ออริเจ็น (Origen, ค.ศ.185-254) ซึ่งเป็นปิตาจารย์หรืออาจารย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ในยุคแรกๆของพระศาสนจักร

            ที่โดดเด่นยิ่งในด้านการอธิบายพระคัมภีร์ ได้เขียนอธิบายพระคัมภีร์ของนักบุญลูกา ในเรื่องราวการไป
            กรุงเยรูซาเล็มของพระเยซูเจ้าขณะที่ยังมีพระชนมายุ 12 พรรษา (ลก 2:41-52) พระนางมารีย์และ

            นักบุญโยเซฟได้พบพระองค์ในพระวิหารหลังจากได้ตามหาสามวัน ออริเจ็นเข้าใจพระคัมภีร์ตอนนี้และ
            ได้อธิบายว่า “จงแสวงหาในที่ที่พวกเขาได้แสวงหาพระองค์จนพบ และท่านด้วย เมื่อท่านแสวงหาพระองค์

            พร้อมกับพระนางมารีย์และนักบุญโยเซฟก็จะสามารถพบพระองค์ได้... ฉะนั้น เช่นเดียวกัน ท่านจงแสวงหา
            พระเยซูเจ้าในพระวิหารของพระเจ้า.. จงแสวงหาพระองค์ในพระศาสนจักร จงแสวงหาพระองค์ท่ามกลาง

            อาจารย์ผู้อยู่ในพระวิหาร และอย่าออกจากที่นั่น เพราะถ้าท่านแสวงหาพระองค์ในวิธีนี้ ท่านก็จะสามารถ
            พบพระองค์ได้”

                    ศีลศักดิ์สิทธิ์ พระวาจาของพระเจ้าที่พระศาสนจักรอ่านและประกาศในพิธีกรรมนั้นมีจุดประสงค์
            อยู่ที่การถวายบูชาแห่งพันธสัญญาใหม่และการเลี้ยงที่ประทานพระหรรษทาน ซึ่งหมายถึง พิธีบูชา

            ขอบพระคุณ (มิสซา) นั่นเอง พระวาจาและพิธีบูชาขอบพระคุณมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ถ้าเรา
            ไม่เข้าใจว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าประทับอยู่จริงในพิธีบูชาขอบพระคุณ (หรือศีลมหาสนิท) เราก็ยังเข้าใจ

            พระคัมภีร์ได้ไม่สมบูรณ์ (ดู VD 55) เพราะพระวาจาของพระเจ้ามีจุดศูนย์กลางอยู่ที่พระบุคคลของ



            ภาคที่ 2  วิถีชุมชนแห่งความเชื่อ                                                   89
   86   87   88   89   90   91   92   93   94   95   96