Page 93 - หนังสืออนุสรณ์ 125 ปี ท่าแร่
P. 93

พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ได้ตรัสถึงความสำาคัญของพิธีกรรมและศีลศักดิ์สิทธิ์ในการดำาเนิน

            ชีวิตแห่งความเชื่อของคริสตชน ในฐานะที่เป็นการตอบสนองพระวาจาของพระเจ้า ในสมณลิขิตประตู
            แห่งความเชื่อ ว่า “การยืนยันความเชื่อ (profession of faith)จะต้องตามมาด้วยการดำาเนินชีวิตทาง

            ศีลศักดิ์สิทธิ์ (sacramental life) ซึ่งพระคริสตเจ้าประทับอยู่ ทรงดำาเนินการ และทรงสร้างพระศาสนจักร
            ของพระองค์อย่างต่อเนื่อง หากปราศจากพิธีกรรมและศีลศักดิ์สิทธิ์ การยืนยันความเชื่อของเราก็จะขาด

            ประสิทธิผล เพราะจะขาดพระหรรษทานช่วยสนับสนุนการเป็นพยานของคริสตชน” (ข้อ 11)
                    ลักษณะเด่นที่สำาคัญประการหนึ่งจากการดำาเนินกิจกรรมบีอีซี คือมีส่วนปลุกความเชื่อของ

            เพื่อนคริสตชนให้ตื่นขึ้น ในความเข้าใจของปิตาจารย์หรือบรรดาอาจารย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนจักร
            ยุคแรกๆ ก็คือการเป็นดั่งการให้กำาเนิดพระคริสตเจ้าในวิญญาณ ลักษณะเช่นนี้เป็นการแสดงออกในบทบาท

            ของการมีส่วนร่วมในความเป็นมารดาของพระศาสนจักร
                    ตามที่บรรดาปิตาจารย์มองธรรมล้ำาลึกทั้งหมดของพระศาสนจักรผูกพันเข้ากับธรรมล้ำาลึกของ

            พระนางมารีย์อย่างที่ไม่อาจแยกจากกันได้ กล่าวคือเห็นพระศาสนจักรในพระนางมารีย์ และเห็นพระนาง
            มารีย์ในพระศาสนจักร ตามความคิดของพวกท่าน พระนางมารีย์ทรงเป็นรูปแบบ (typos) ของพระศาสนจักร

            นั่นคือเป็นสัญลักษณ์และเป็นดังบทสรุปของทุกสิ่งที่พระศาสนจักรนำามาเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติและ
            กระแสเรียกของตน ดังนั้นโฉมหน้าอันแท้จริงของชีวิตคริสตชนที่ก่อร่างขึ้นบนพลังของพระหรรษทานของ

            ศีลล้างบาปนั้นไม่เพียงแต่เป็นการดิ้นรนเพื่อให้ตนเองบรรลุถึงความศักดิ์สิทธิ์ครบครันโดยการปรับเปลี่ยน
            ตนเองให้มีความละม้ายคล้ายกับพระคริสตเจ้าเท่านั้น แต่ยังทำาให้เขาเองกลายเป็นอัครสาวกของ

            พระคริสตเจ้าในท่ามกลางคนอื่นๆด้วย และเพื่อแบ่งปันให้แก่พวกเขาในสิ่งที่เขามีอันเนื่องจากพระพรของ
            พระคริสตเจ้า ดังนั้นคริสตชนจึงกลายเป็น “มารดาของพระคริสตเจ้า” ในความหมายที่ว่า เขาได้สร้าง

            พระคริสตเจ้าขึ้นมาโดยการทำาให้พระองค์กำาเนิดขึ้นในจิตใจของพี่น้องของเขา แน่นอนนักบุญเปาโล
            (กท 4:19) ถือเป็นตัวอย่างดีเด่นในเรื่องนี้ ขณะที่นักบุญเกรโกรีผู้ยิ่งใหญ่ ก็ได้กล่าวว่า “เหนือสิ่งอื่นใด

            เขาเป็นมารดาของพระคริสตเจ้า คือเขาผู้ซึ่งเทศน์สอนความจริง เพราะเขาให้กำาเนิดแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
            ของเรา โดยการนำาพระองค์เข้าสู่จิตใจของบรรดาผู้ที่ฟังเขา และเขาเป็นมารดาของพระคริสตเจ้า เพราะ

            โดยผ่านทางคำาพูดของเขาก็ดลบันดาลให้เกิดความรักต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราขึ้นในจิตใจของพี่น้อง
            ของเขา” (Homily 3 on the Gospels: PL 76, 1086)

                    คริสตชนทุกคนได้รับความเชื่อในพระศาสนจักร พระศาสนจักรจึงเป็นมารดาของเรา (CCC 169)
            กระนั้นก็ดี ในการเติบโตขึ้นของพระหรรษทานศีลล้างบาป คือการทำาให้กระแสเรียกของตนบังเกิดผล

            หรือบรรลุถึงความศักดิ์สิทธิ์ครบครัน ในพระศาสนจักรนั้น คริสตชนได้รับพระวาจาและศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
            และยังรับเอาแบบอย่างความศักดิ์สิทธิ์จากพระศาสนจักรด้วย คือจากพระนางมารีย์ จากบรรดานักบุญ

            และจากผู้ดำาเนินชีวิตตามนั้น บทบาทความเป็นมารดานี้ไม่เพียงแต่เกิดขึ้นในชีวิตของพระศาสนจักร
            ตามปกติ (ดู CCC 2030-31) เพื่อให้พระหรรษทานแห่งศีลล้างบาปพัฒนาขึ้นได้ พระศาสนจักรยังเรียกร้อง

            ให้สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมในความเป็นมารดาของพระศาสนจักรอีกด้วย “ชุมชนพระศาสนจักรทั้งครบ



            ภาคที่ 2  วิถีชุมชนแห่งความเชื่อ                                                   91
   88   89   90   91   92   93   94   95   96   97   98